ระบบสารสนเทศในธุรกิจโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมระบบสารสนเทศเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากระบบสารสนเทศสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีปริสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยิ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่มีระบบที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจโรงแรมได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ทำให้แซงหน้าคู่แข่งได้ เช่น
- ระบบสารสนเทศการจัดการห้องพัก เช่น เช็คสถานะของห้องพักว่ามีการ Check in หรือ Check out กี่ห้องจำนวนห้องที่มีการจองกี่ห้องประเภทของห้องมีอะไรบ้างเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ จำนวนคนผู้เข้าพัก ราคาห้องพักต่อคืน
- ระบบสารสนเทศเพื่อการขายและการตลาดมีหน้าที่หลักทางการขายและการตลาด(sale and marketing) การวางแผนเกี่ยวกับห้องพัก เป็นต้นว่า ความสามารถในการให้บริการ แนวโน้มการบริการการกำหนดช่องทางการจองใช้บริการการกำหนดราคาห้องพักการให้ส่วนลดต้นทุน ผลกำไร และการกำหนดรูปแบบการส่งเสริมการขาย เช่น การโฆษณา การกำหนดโปรโมชั่นสำหรับลูกค้า VIP หรือช่วงเทศกาล
- ระบบสารสนเทศสินค้าคงคลังทั้งในส่วนของห้องพัก เช่นจำนวนผ้าที่นอนปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวมีจำนวนสินค้าคงคลังเท่าไหร่สถานะของสินค้าคงคลังเป็นอย่างไรบ้างเป็นต้นห้องอาหารจำนวนอุปกรณ์เครื่องครัวมีการชำรุดเสียหายหรือไม่วัสดุอุปกรณ์แต่ละประเภทมีจำนวนเท่าไหร่บ้าง
- ระบบงานบริการ เพื่อเป็นการสร้างความเป็นระบบในการให้บริการ ควรมีการวางแผนและกำหนดขอบเขตงานให้ชัดเจน ดังตัวอย่างงานบริการของโรงแรม
- ระบบสารสนเทศข้อมูลลูกค้าเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้าอาทิเช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ Email อาชีพ เพื่อเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำระบบสมาชิก รวมไปถึงการจัดโปรโมชั่นให้ลูกค้า
ฟังก์ชันหลักของระบบ
1. Property Managment System (PMS)
• Front Office ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบริหารเกี่ยวกับการจอง การลงทะเบียนผู้เข้าพัก ข้อมูลผู้เข้าพัก สถานะห้องพัก ค่าใช้จ่ายของแขกที่เข้าพัก
• Back Office ใช้ในการตรวจเช็คข้อมูล สถานะของห้องพักสำหรับการปฏิบัติงานสนับสนุนของแผนกต่างๆ
• ระบบเชื่อมต่อกับระบบการทำงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
2. Point of Sales System (POS)
• ระบบที่นำมาใช้กับห้องอาหารเป็นหลัก คือโปรแกรมจุดขาย (point of sales) มีการทำเมนู ราคา การนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Touch screen, Kiosk, Self Service มาใช้ในการให้บริการ
• บางโรงแรมจะนำไปประยุกต์ใช้กับงานส่วนอื่น เช่น Spa, Gift shop หรืออื่นๆ โดยเพียงแค่เปลี่ยนราคาสินค้าที่ขาย รายได้ทั้งหมดจะถูก Online เข้าไปใน Folio ห้องแขก ในส่วนของ PMS และถ้ามีการเชื่อมโยงกับ store ก็จะเป็นการไปตัด cost inventory ด้วย
3. Accountant System
• ระบบบัญชี สำหรับใช้ในการคิดคำนวณทางด้านบัญชีแยกประเภทต่างๆภายในโรงแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในด้านบริหารรายได้ค่าห้องพักืและบริการอื่นๆ ตลอดจนการบริหารทรัพย์สินต่างๆของโรงแรมที่ใช้ในการคิดคำนวณทางด้านบัญชีต่างๆ อาทิ สินค้าคงคลัง(Inventory) สินทรัพย์(Assets) เป็นต้น
• ระบบนี้อาจทำงานได้ทั้งแบบอิสระหรือเชื่อต่อกับระบบPMSเพื่อจัดการบัญชีค่าใช้จ่ายของแขกที่มาพักในโรงแรมด้วย
4. Human Resource Management (HRM)
• เป็น software ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เช่น ทะเบียนประวัติพนักงาน (Personnel) การจ่ายเงินเดือน (Payroll) การควบคุมเวลาเข้าออก (Time Attendance) เป็นต้น
ที่มา http://hosgroup1.blogspot.com/2010/09/blog-post.html
ฟังก์ชันเสริมของระบบ
1. Online Distribution System ระบบการจัดจำหน่ายห้องพักผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ ที่มีการขายแบบ Real
Time อาทิ GDS, IDS,CRS, Hotel Website
เป็นระบบแบบ Real Time และ
Interactive ที่ลูกค้าสามารถจะตรวจสอบสถานะห้องว่างราคาที่เป็นปัจจุบัน ทำการจอง
และยืนยันการจองได้ในทันทีแบบอัตโนมัติ ระบบนี้มีทั้งแบบทำงานโดยอิสระ
หรือทำงานเชื่อมต่อกับระบบ PMS
2. ระบบนี้ต่างจากระบบจองห้องพัก (Reservation
System) คือGDSไม่ได้เป็นเจ้าของระบบแต่เป็นผู้ใช้บริการจากระบบเพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียดของโรงแรมและการกระจายต่อให้กับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง
3. Customer Relationship Management System (CRM)ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
สำหรับโรงแรม/ที่พัก ที่มุ่งเน้นในด้านการรักษาลูกค้า และเพิ่มพูน
ธุรกิจผ่านทางลูกค้าเก่าที่มีประสบการณ์กับทางโรงแรม
จะนำเอาระบบนี้เข้ามาใช้งาน ซึ่งอาจจะเป็นการใช้งานแบบอิสระ
หรือการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับระบบ PMS หลักของโรงแรม
และระบบบริหารจัดการรายชื่อผู้ติดต่อในระบบอื่นๆที่ใช้งานอยู่ด้วยก็ได้
4. Internet Connection เป็นการสื่อสารและบริการในธุรกิจโรงแรม
ปัจจุบันการสื่อสารผ่านทางอีเมลล์ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง
รองลงมาจากการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง
การให้บริการอินเตอร์เน็ตสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก
5. Call Center ศูนย์รวมการให้บริการสำหรับลูกค้า
โรงแรมระดับ 4-5
ดาวในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีการรวมศูนย์การให้บริการ
ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการบริการแก่ลูกค้าที่มาพักในโรงแรมแถมยังสามารถเก็บสถิติการให้บริการได้อีกด้วย
ที่มา http://www.spdesignmarketing.co.th/blog/it-การบริหารธุรกิจโรงแรม/
บทบาทสำคัญของระบบสารสนเทศของโรงแรม
- ช่วยธุรกิจในการขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น
- ช่วยในการตัดสินใจใช้บริการของลูกค้า
- ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้กับธุรกิจและเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า
- ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างธุรกิจต่างๆในเครือข่าย
วัตถุประสงค์หลักที่หน่วยงานนำระบบสารสนเทศของโรงแรมมาใช้งาน
- ความต้องการขยายตลาด ไม่ว่าจะเป็นการขายบริการเก่าให้แก่ลูกค้าเก่า
- และใหม่ หรือการขายบริการใหม่ให้แก่ลูกค้าทั้งสองแบบ หรือความต้องการเปิดตลาดใหม่ๆให้กว้างขึ้น
- การแข่งขันด้านการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ
- ความต้องการสร้างเครือข่ายของการบริการ เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าให้มากที่สุด
- ความต้องการปรับปรุงการปฏิบัติงานในองค์กร เพื่อให้มีการประสานงานในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
- ความต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ เพื่อให้เข้าสู่ธุรกิจยุคอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
- เชื่อมโยงกับบริษัทคู่ค้า เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างรายได้
- ให้กับองค์กร
- ระบบสารสนเทศการจัดการห้องพัก เช่น เช็คสถานะของห้องพักว่ามีการ Check in หรือ Check out กี่ห้องจำนวนห้องที่มีการจองกี่ห้องประเภทของห้องมีอะไรบ้างเตียงเดี่ยวหรือเตียงคู่ จำนวนคนผู้เข้าพัก ราคาห้องพักต่อคืน
- ระบบสารสนเทศเพื่อการขายและการตลาดมีหน้าที่หลักทางการขายและการตลาด(sale and marketing) การวางแผนเกี่ยวกับห้องพัก เป็นต้นว่า ความสามารถในการให้บริการ แนวโน้มการบริการการกำหนดช่องทางการจองใช้บริการการกำหนดราคาห้องพักการให้ส่วนลดต้นทุน ผลกำไร และการกำหนดรูปแบบการส่งเสริมการขาย เช่น การโฆษณา การกำหนดโปรโมชั่นสำหรับลูกค้า VIP หรือช่วงเทศกาล
- ระบบสารสนเทศสินค้าคงคลังทั้งในส่วนของห้องพัก เช่นจำนวนผ้าที่นอนปลอกหมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัวมีจำนวนสินค้าคงคลังเท่าไหร่สถานะของสินค้าคงคลังเป็นอย่างไรบ้างเป็นต้นห้องอาหารจำนวนอุปกรณ์เครื่องครัวมีการชำรุดเสียหายหรือไม่วัสดุอุปกรณ์แต่ละประเภทมีจำนวนเท่าไหร่บ้าง
- ระบบงานบริการ เพื่อเป็นการสร้างความเป็นระบบในการให้บริการ ควรมีการวางแผนและกำหนดขอบเขตงานให้ชัดเจน ดังตัวอย่างงานบริการของโรงแรม
- ระบบสารสนเทศข้อมูลลูกค้าเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้าอาทิเช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ Email อาชีพ เพื่อเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำระบบสมาชิก รวมไปถึงการจัดโปรโมชั่นให้ลูกค้า
ฟังก์ชันหลักของระบบ
1. Property Managment System (PMS)
• Front Office ที่ใช้ในการปฏิบัติงานและบริหารเกี่ยวกับการจอง การลงทะเบียนผู้เข้าพัก ข้อมูลผู้เข้าพัก สถานะห้องพัก ค่าใช้จ่ายของแขกที่เข้าพัก
• Back Office ใช้ในการตรวจเช็คข้อมูล สถานะของห้องพักสำหรับการปฏิบัติงานสนับสนุนของแผนกต่างๆ
• ระบบเชื่อมต่อกับระบบการทำงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
2. Point of Sales System (POS)
• ระบบที่นำมาใช้กับห้องอาหารเป็นหลัก คือโปรแกรมจุดขาย (point of sales) มีการทำเมนู ราคา การนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Touch screen, Kiosk, Self Service มาใช้ในการให้บริการ
• บางโรงแรมจะนำไปประยุกต์ใช้กับงานส่วนอื่น เช่น Spa, Gift shop หรืออื่นๆ โดยเพียงแค่เปลี่ยนราคาสินค้าที่ขาย รายได้ทั้งหมดจะถูก Online เข้าไปใน Folio ห้องแขก ในส่วนของ PMS และถ้ามีการเชื่อมโยงกับ store ก็จะเป็นการไปตัด cost inventory ด้วย
3. Accountant System
• ระบบบัญชี สำหรับใช้ในการคิดคำนวณทางด้านบัญชีแยกประเภทต่างๆภายในโรงแรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในด้านบริหารรายได้ค่าห้องพักืและบริการอื่นๆ ตลอดจนการบริหารทรัพย์สินต่างๆของโรงแรมที่ใช้ในการคิดคำนวณทางด้านบัญชีต่างๆ อาทิ สินค้าคงคลัง(Inventory) สินทรัพย์(Assets) เป็นต้น
• ระบบนี้อาจทำงานได้ทั้งแบบอิสระหรือเชื่อต่อกับระบบPMSเพื่อจัดการบัญชีค่าใช้จ่ายของแขกที่มาพักในโรงแรมด้วย
4. Human Resource Management (HRM)
• เป็น software ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เช่น ทะเบียนประวัติพนักงาน (Personnel) การจ่ายเงินเดือน (Payroll) การควบคุมเวลาเข้าออก (Time Attendance) เป็นต้น
ที่มา http://hosgroup1.blogspot.com/2010/09/blog-post.html
ฟังก์ชันเสริมของระบบ
1. Online Distribution System ระบบการจัดจำหน่ายห้องพักผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายออนไลน์ ที่มีการขายแบบ Real
Time อาทิ GDS, IDS,CRS, Hotel Website
เป็นระบบแบบ Real Time และ
Interactive ที่ลูกค้าสามารถจะตรวจสอบสถานะห้องว่างราคาที่เป็นปัจจุบัน ทำการจอง
และยืนยันการจองได้ในทันทีแบบอัตโนมัติ ระบบนี้มีทั้งแบบทำงานโดยอิสระ
หรือทำงานเชื่อมต่อกับระบบ PMS
2. ระบบนี้ต่างจากระบบจองห้องพัก (Reservation System) คือGDSไม่ได้เป็นเจ้าของระบบแต่เป็นผู้ใช้บริการจากระบบเพื่อเก็บข้อมูลรายละเอียดของโรงแรมและการกระจายต่อให้กับนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง
3. Customer Relationship Management System (CRM)ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า สำหรับโรงแรม/ที่พัก ที่มุ่งเน้นในด้านการรักษาลูกค้า และเพิ่มพูน
ธุรกิจผ่านทางลูกค้าเก่าที่มีประสบการณ์กับทางโรงแรม
จะนำเอาระบบนี้เข้ามาใช้งาน ซึ่งอาจจะเป็นการใช้งานแบบอิสระ
หรือการเชื่อมโยงฐานข้อมูลกับระบบ PMS หลักของโรงแรม
และระบบบริหารจัดการรายชื่อผู้ติดต่อในระบบอื่นๆที่ใช้งานอยู่ด้วยก็ได้
4. Internet Connection เป็นการสื่อสารและบริการในธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันการสื่อสารผ่านทางอีเมลล์ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง รองลงมาจากการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การให้บริการอินเตอร์เน็ตสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก
5. Call Center ศูนย์รวมการให้บริการสำหรับลูกค้า โรงแรมระดับ 4-5 ดาวในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีการรวมศูนย์การให้บริการ ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการบริการแก่ลูกค้าที่มาพักในโรงแรมแถมยังสามารถเก็บสถิติการให้บริการได้อีกด้วย
ที่มา http://www.spdesignmarketing.co.th/blog/it-การบริหารธุรกิจโรงแรม/
บทบาทสำคัญของระบบสารสนเทศของโรงแรม
- ช่วยธุรกิจในการขยายขอบเขตให้กว้างขึ้น
- ช่วยในการตัดสินใจใช้บริการของลูกค้า
- ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานของผู้ประกอบการ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้กับธุรกิจและเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้า
- ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างธุรกิจต่างๆในเครือข่าย
วัตถุประสงค์หลักที่หน่วยงานนำระบบสารสนเทศของโรงแรมมาใช้งาน
- ความต้องการขยายตลาด ไม่ว่าจะเป็นการขายบริการเก่าให้แก่ลูกค้าเก่า
- และใหม่ หรือการขายบริการใหม่ให้แก่ลูกค้าทั้งสองแบบ หรือความต้องการเปิดตลาดใหม่ๆให้กว้างขึ้น
- การแข่งขันด้านการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาใช้บริการซ้ำ
- ความต้องการสร้างเครือข่ายของการบริการ เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าให้มากที่สุด
- ความต้องการปรับปรุงการปฏิบัติงานในองค์กร เพื่อให้มีการประสานงานในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
- ความต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ เพื่อให้เข้าสู่ธุรกิจยุคอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
- เชื่อมโยงกับบริษัทคู่ค้า เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างรายได้
- ให้กับองค์กร
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ ( Office Automation System : OAS )
เป็นระบบสำหรับเชื่อมโยงการทำงานของเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร เพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูล การค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูล การจัดตารางนัดหมาย การประชุมทางไกล สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับข้อมูลโดยตรง เช่น พนักงานป้อนข้อมูล(Data Entry Worker)เป็นกลุ่มพนักงานที่มีความรู้ในระดับต่ำกว่าผู้ชำนาญการ (Knowledge Workers) OAS เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และอำนวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างกัน
ระบบสำนักงานอัตโนมัติประกอบด้วย
· ระบบจัดการเอกสาร· ระบบจัดการด้านข่าวสาร
· ระบบประชุมทางไกล
· ระบบสนับสนุนสำนักงาน
ที่มา http://blog.vzmart.com/ระบบสำนักงานอัตโนมัติ-office-automation-system-oas/
1. รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ การสื่อสารด้วยข้อความ E – mail , FAX
2.รูปแบบการประชุมทางไกลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การประชุมทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing) การประชุมทางไกลแบบมีทั้งภาพและเสียง (Video – Conferencing)
องค์ประกอบสำคัญของ OAS คือ
1. Networking System คือ ระบบข่ายงานที่เชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ระหว่างกันทั่วองค์กร2. Electronic Data Interchange คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารระหว่างกน โดยอาศัยสัญญาณข้อมูลข่าวสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านระบบข่ายงาน
3. Internet Working (Internet) คือ การรวมตัวกันของระบบข่ายงาน ที่กระจายอยู่ทั่วโลกจนกลายเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่
4. Paperless System คือ ระบบที่ไม่ใช้กระดาษ
อาทิ Post Of Sale (POS) เป็นการขายแบบมีการบันทึกรายการขายและรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวกับสินค้าทันทีที่มีการขาย ณ จุดขายนั้นๆ
ที่มา http://blog.vzmart.com/ระบบสำนักงานอัตโนมัติ-office-automation-system-oas/
วัตถุประสงค์ของการจัดสำนักงานอัตโนมัติ
- ต้องการความสะดวก
- ต้องการสั่งผ่านสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง
- เพื่อลดปริมาณคนงาน และปริมาณงานด้านเอกสาร
- ต้องการความยืดหยุ่น
- เพื่อที่จะสามารถขยายงานต่อไปได้ในอนาคต
ข้อดีของระบบ
- ได้ข้อมูลรวดเร็วทันทีกับความต้องการ
- ข้อมูลที่ได้มีความถูกต้องมากขึ้น
- ประหยัดเวลาและค่าใช่จ่ายในด้านแรงงาน
- เพิ่มประสิทธิภาพด้านการติดต่อสื่อสาร
- ลดงานในการควบคุมที่ไม่จำเป็น
- เกิดการควบคุมงานในภาพรวมดีขึ้น เพราะคุณภาพงานสูงขึ้น
- ช่วยปรับปรุงขวัญและกำลังใจในการทำงานและเพิ่มความพึงพอใจในงาน
ข้อเสียของระบบ
- เครื่องใช้สำนักงานส่วนใหญ่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า หากไฟฟ้าขัดข้องไม่สามารถใช้เครื่องมือ หรือออุปกรณ์ได้
- หน่วยงานที่อยู่ห่างไกลมีอุปสรรคมากเช่นไม่มีระบบไฟฟ้า(ใช้อุปกรณ์ไม่ได้) ไม่มีโทรศัพท์(ใช้ระบบสื่อสารไม่ได้)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีปัญหาแทรกซ้อนในเรื่องไวรัสมากมาย บางครั้งอาจทำให้ข้อมูลที่บันทึกไว้หายไปหมด
- เครื่องใช้ อุปกรณ์มีราคาแพง
- ขาดบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะในการใช้เครื่องมือ
- เครื่องมือเทคโนโลยี สื่อสมัยใหม่มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงเร็ว ล้าสมัยเร็ว
- เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศทำให้ประเทศไทยต้องเสียดุลการค้า
- ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มีลิขสิทธิ์การนำมาใช้ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง
ระบบการประมวลผลรายการ(Transaction Processing Systems :TPS)
ระบบประมวลผลรายการ หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ใช้ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบจากการปฏิบัติงานให้อยู่ในรูปแบบที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้, เก็บรายละเอียดรายการ, ประมวลผลรายการและสั่งพิมพ์รายละเอียดรายการ ออกมาได้ รายการ (Transaction) คือ การกระทำพื้นฐานที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการทางธุรกิจ เช่น การขายสินค้า การจองตั๋วเครื่องบิน การซื้อสินค้าผ่านเครดิตการ์ดและการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง จัดเป็นรายการทั้งสิ้น ระบบประมวลผลรายการนิยมใช้ในการประมวลผลบัญชี, การขาย, หรือประมวลผลข้อมูลสินค้าคงคลัง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ต้องการของระบบสารสนเทศอื่นๆในองค์กร
ระบบประมวลผลรายการสามารถแบ่งตามวิธีการประมวลผลข้อมูล ได้แก่
1. ระบบการประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing System) ข้อมูลจากหลายๆรายการ จากผู้ใช้หลายๆ คน หรือจากช่วงเวลาหลายๆ ช่วง ถูกรวมเข้าด้วยกัน, นำเข้า และประมวลผลเหมือนเป็นกลุ่มเดียว ตัวอย่างเช่น ยอดขายรายวันซึ่งถูกประมวลผลเพียงวันละหนึ่งครั้ง จะใช้ระบบการประมวลผลแบบกลุ่มนี้เมื่อข้อมูลไม่จำเป็นต้องปรับปรุงทันที และเมื่อมีข้อมูลจำนวนมากที่คล้ายกัน ต้องถูกประมวลผลในครั้งเดียวกัน
2. ระบบการประมวลผลแบบออนไลน์ (Online Processing System) รายการถูกประมวลผลเมื่อเกิดรายการนั้นขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- การประมวลผลเชิงรายการ (Transactional Processing) ข้อมูลถูกประมวลผลเมื่อป้อนข้อมูลเข้าโดยไม่ต้องเก็บไว้ประมวลผลในภายหลัง เช่น ระบบเช็ครายการสินค้าออกของร้านขายของชำ โดยระบบจะทำการออกใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายการสินค้าทันทีหลังจากรายการสินค้าต่างๆ ที่ซื้อ ถูกประมวลผล
- การประมวลผลแบบทันที (Real-time Processing) ใช้ในระบบควบคุม หรือระบบที่ต้องการให้เกิดผลสะท้อนกลับ เช่นขบวนการควบคุมอุณหภูมิของห้างสรรพสิน การทำงานของการประมวลผลแบบทันที สามารถไปมีผลกระทบกับตัวรายการนั้นๆ เอง ถ้าผู้ใช้หลายรายแข่งขันกันเพื่อใช้ทรัพยากรเดียวกัน เช่นที่นั่งบนเครื่องบิน หรือในชั้นเรียนพิเศษ
ที่มา http://chanoknartkampho.blogspot.com/2012/12/oasdss-mistpsesskws.html
วัตถุประสงค์ของ TPS
1) มุ่งจัดหาสารสนเทศทั้งหมดที่หน่วยงานต้องการตามนโยบายของหน่วยงานหรือตามกฎหมาย เพื่อช่วยในการปฏิบัติงาน
2) เพื่อเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงานประจำให้มีความรวดเร็ว
3) เพื่อเป็นหลักประกันว่าข้อมูลและสารสนเทศของหน่วยงานมีความถูกต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและรักษาความลับได้
4) เพื่อเป็นสารสนเทศที่ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบสารสนเทศที่ใช้ในการตัดสินใจอื่น เช่น MRS หรือ DSS
หน้าที่ของ TPS
- การจัดกลุ่มของข้อมูล (Classification) คือ การจัดกลุ่มข้อมูลลักษณะเหมือนกันไว้ด้วยกัน
- การคิดคำนวณ (Calculation) การคิดคำนวณโดยใช้วิธีการคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ เช่น การคำนวณภาษีขายทั้งหมดที่ต้องจ่ายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
- การเรียงลำดับข้อมูล (Sorting) การจัดเรียงข้อมูลเพื่อทำให้การประมวลผลง่ายขึ้น เช่น การจัดเรียง invoices ตามรหัสไปรษณีย์เพื่อให้การจัดส่งเร็วยิ่งขึ้น
- การสรุปข้อมูล (Summarizing) เป็นการลดขนาดของข้อมูลให้เล็กหรือกระทัดรัดขึ้น เช่น การคำนวณเกรดเฉลี่ยของนักศึกษาแต่ละคน
- การเก็บ (Storage) การบันทึกเหตุการณ์ที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน อาจจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้ โดยเฉพาะข้อมูลบางประเภทที่จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ตามกฎหมาย
ลักษณะสำคัญของระบบสารสนเทศแบบ TPS
- มีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
- แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มาจากภายในและผลที่ได้เพื่อตอบสนองต่อผู้ใช้ภายในองค์การเป็นหลักอย่างไรก็ตามในปัจจุบันหุ้นส่วนทางการค้าอาจจะมีส่วนในการป้อนข้อมูลและอนุญาตให้หน่วยงานที่เป็นหุ้นส่วนใช้ผลที่ได้จาก TPS โดยตรง
- กระบวนการประมวลผลข้อมูลมีการดำเนินการเป็นประจำ เช่น ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกสองสัปดาห์
- มีความสามารถในการเก็บฐานข้อมูลจำนวนมาก
- มีการประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็ว เนื่องจากมีปริมาณข้อมูลจำนวนมาก
- TPS จะคอยติดตามและรวบรวมข้อมูลภายหลังที่ผลิตข้อมูลออกมาแล้ว
- ข้อมูลที่ป้อนเข้าไปและที่ผลิตออกมามีลักษณะมีโครงสร้างที่ชัดเจน (structured data)
- ความซับซ้อนในการคิดคำนวณมีน้อย
- มีความแม่นยำค่อนข้างสูง การรักษาความปลอดภัย ตลอดจนการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญเกี่ยวข้องโดยตรงกับ TPS
- ต้องมีการประมวลผลที่มีความน่าเชื่อถือสูง
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System: MIS)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารที่ต้องการ การประมวลผลของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้ประโยชน์มากกว่าการช่วยงานแบบต่อวัน MIS จึงมีความสามารถในการคำนวณเปรียบเทียบข้อมูลซึ่งมีความหมายต่อการจัดการและบริหารงานเป็นอย่างมากนอกจากนั้นระบบนี้ยังสามารถสร้างสารสนเทศที่ถูกต้องทันสมัย
คุณสมบัติของระบบ MIS คือ
- ระบบ MIS สนับสนุนการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลรายวัน
- ระบบ MIS จะใช้ฐานข้อมูลที่ถูกรวมเข้าด้วยกัน และสนับสนุนการทำงานของฝ่ายต่างๆ ในองค์กร
- ระบบ MIS จะช่วยให้ผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูงเรียกใช้ข้อมูลที่เป็นโครงสร้างได้ตามเวลาที่ต้องการ
- ระบบ MIS จะมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับความต้องการข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงขององค์กร
- ระบบ MIS ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูล และจำกัดการใช้งานของบุคคลเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ที่มา https://kwangmju.wordpress.com/
การนำไปใช้งานสามารถแบ่งได้ 4 ระดับดังนี้
- ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในการวางแผนนโยบาย กลยุทธ์ และการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง
- ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในส่วนยุทธวิธีในการวางแผนการปฏิบัตและการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง
- ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการในระดับปฎิบัติการและการควบคุมในขั้นตอนนี้ผู้บริหารระดับล่างจะเป็นผู้ใช้สารสนเทศเพื่อช่วยในการปฎิบัติงาน
- ระบบสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลระบบสารสนเทศเป็นระบบรวมทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถเก็บรวบรวมในลักษณะระบบเดียวเนื่องจากขนาดข้อมูลมีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมากทำให้การบริหารข้อมูลทำได้อยาก การนำไปใช้ไม่สะดวก จึงจำเป็นต้องแบ่งระบบสารสนเทศออกเป็นระบบย่อย 4 ส่วนได้แก่
- ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing System :TPS)
- ระบบจัดการรายงาน (Management Reporting System :MRS)
- ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System :DSS)
- ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information System :OIS)
ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System – DSS)
ระบบช่วยตัดสินใจ หมายถึง ระบบที่ทำหน้าที่จัดเตรียมสารสนเทศ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ หากเป็นการใช้โดยผู้บริหารระดับสูง เรียกว่า “ระบบสนับสนุนการตัดสินในเพื่อผู้บริหารระดับสูง” (Executive Support System : ESS) บางครั้งสารสนเทศที่ TPS และ MIS ไม่สามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้จำเป็นต้องพัฒนาระบบช่วยตัดสินใจ DSS ขึ้น เพื่อช่วยในการตัดสินใจภายใต้ผลสรุปและการเปรียบเทียบข้อมูลจากแหล่งอื่น ทั้งภายในและนอกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับการรวมบริษัท การขยายโรงงานใหม่ เป็นต้น
คุณสมบัติของระบบ DSS คือ
- ระบบ DSS จะต้องช่วยผู้บริหารในกระบวนการการตัดสินใจ
- ระบบ DSS จะต้องถูกออกแบบมาให้สามารถเรียกใช้ทั้งข้อมูลแบบกึ่งโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้างแน่นอนได้
- ระบบ DSS จะต้องสามารถสนับสนุนผู้ตัดสินใจได้ในทุกระดับแต่จะเน้นที่ระดับวางแผนบริหารและวางแผนยุทธศาสตร์
- ระบบ DSS มีรูปแบบการใช้งานอเนกประสงค์ มีความสามารถในการจำลองสถานการณ์และมีเครื่องมือในการวิเคราะห์สำหรับช่วยเหลือผู้ทำการตัดสินใจ
- ระบบ DSS ต้องเป็นระบบที่โต้ตอบกับผู้ใช้ได้ สามารถใช้งานได้ง่ายผู้บริหารต้องสามารถใช้งานโดยพึ่งความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญน้อยที่สุดหรือไม่ต้องพึ่งเลย
- ระบบ DSS ต้องสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการข่าวสารในสภาพการณ์ต่างๆ
- ระบบ DSS ต้องมีกลไกช่วยให้สามารถเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- ระบบ DSS ต้องสามารถติดต่อกับฐานข้อมูลขององค์กรได้
- ระบบ DSS ต้องทำงานโดยไม่ขึ้นกับระบบการทำงานตามตารางเวลาขององค์กร
- ระบบ DSS มีความยืดหยุ่นพอที่จะรองรับรูปแบบการบริหารแบบต่าง ๆ
ที่มา http://xn--computer-rpzuija9i2h7a.blogspot.com/2013/05/decision-support-systems.html
ประเภทของระบบ DSS
1. DSS แบบให้ความสำคัญกับข้อมูล (Data-Oriented DSS)เป็น DSS ที่ให้ความสำคัญกับเครื่องมือในการจัดการและการวิเคราะห์ข้อมูล การทดสอบทางสถิติ ตลอดจนการจัดข้อมูลในลักษณะต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้ทำความเข้าใจสารสนเทศ และสามารถตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
2.DSS แบบให้ความสำคัญกับแบบจำลอง (Model-Based DSS) เป็น DSS ที่ให้ความสำคัญกับแบบจำลองการประมวลปัญหา โดยเฉพาะแบบจำลอง พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) และแบบจำลองการวิจัยขั้นดำเนินงาน(Operation Research Model) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์ปัญหา และปรับตัวแปรที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ที่มา
ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System : EIS หรือ Executive Support System: ESS)
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือ MIS ประเภทพิเศษที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถใช้ระบบสารสนเทศได้ง่ายขึ้นโดยใช้เมาส์เลื่อนหรือจอภาพแบบสัมผัสเพื่อเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างกันทำให้ผู้บริหารไม่ต้องจำคำสั่ง
คุณสมบัติของระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
- สนับสนุนการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning Supportปัจจัยสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Factors) เพื่อที่จะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการช่วยเพิ่มประสิทธ์ภาพในการกำหนดแผนทางกลยุทธ์ที่สมบูรณ์
- เชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์กร (External Environment Focus)EIS ที่ ดี จะต้องมีการใช้ฐานข้อมูลขององค์การได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังจะต้องออกแบบให้สามารถเชื่อมโยงกับแหลงข้อมูลที่มาจากภายนอกองค์การเพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลที่สำคัญที่จำเป็นต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร
- มีความสามารถในการคำนวณภาพกว้าง (Broad-based Computing Capabilities)ผู้บริหารต้องการจึงเป็นลักษณะง่าย ๆ ชัดเจน เป็นรูปธรรม และไม่ซับซ้อนมาก เช่น การเรียกข้อมูลกลับมาดู การใช้กราฟ การใช้แบบจำลองแสดงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- ง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งาน (Exceptional Ease of Learning and Use)การพัฒนา EIS จะต้องเลือกรูปแบบการ แสดงผลหรือการโต้ตอบกับผู้ใช้ในแนวทางที่ง่ายต่อการใช้งาน และใช้ระยะเวลาสั้น เช่น การแสดงผลรูปกราฟ ภาษาที่ง่าย และการโต้ตอบที่รวดเร็ว
- พัฒนาเฉพาะสำหรับผู้บริหาร (Customization)นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analyst and Designer) ต้องคำนึงถึงในการพัฒนา EIS เพื่อให้สามารถพัฒนา EIS ให้มีศักยภาพสูง มีประสิทธิภาพดีเหมาะสมกับการใช้งานและเป็นแบบเฉพาะสำหรับผู้บริหารที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ตามต้องการ
คุณสมบัติของระบบ EIS
- มีการใช้งานบ่อย
- ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง
- ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทำงานของผู้บริหาร
- การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม
- การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน
- ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย
- การใช้งานภาพกราฟิกสูง จะใช้รูปแบบการนำเสนอต่างๆ
- ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใด
- มีการใช้งานบ่อย
- ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง
- ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทำงานของผู้บริหาร
- การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม
- การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน
- ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย
- การใช้งานภาพกราฟิกสูง จะใช้รูปแบบการนำเสนอต่างๆ
- ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใด
ข้อดีของระบบ EIS
1. ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน
2. การใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์
3. ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ
4. ทำให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น
5. มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา
6. ทำให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้น
ข้อด้อยของระบบ EIS
1. มีข้อจำกัดในการใช้งาน
2. อาจทำให้ผู้บริหารจำนวนมากรู้สึกว่าได้รับข้อมูลมากเกินไป
3. ยากต่อการประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากระบบ
4. ไม่สามารถทำการคำนวณที่ซับซ้อนได้
5. ระบบอาจนะใหญ่เกินกว่าที่จะจัดการได้
6. ยากต่อการรักษาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
ที่มา http://slideplayer.in.th/slide/2073634/
ความสัมพันธ์ของระบบสารสนเทศที่จำแนกตามการบริหารงาน
ที่มา https://sites.google.com/site/kannikapinsay75/abut-me
ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems : ES)
ระบบผู้เชี่ยวชาญ หมายถึง ระบบที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งคล้ายกับมนุษย์ ระบบนี้ได้รับความรู้จากมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่งเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์เหตุผลเพื่อตัดสินใจความรู้ที่เก็บไว้ในระบคอมพิวเตอร์นี้ประกอบด้วย ฐานความรู้ (Knowledge Bass) และกฎข้อวินิจฉัย (Inference การแบ่งประเภทสารสนเทศมีความหลากหลายแล้วแต่จะใช้องค์ประกอบใดเป็นหลัก เช่นการวินิจฉัยความผิดพลาดของรถจักรดีเซลไฟฟ้าโดยใช้คอมพิวเตอร์
ส่วนประกอบของ ES
- ฐานความรู้ (knowledge base) เป็นส่วนที่เก็บความรู้ทั้งหมดของผู้เชี่ยวชาญที่รวบรวมจากการศึกษาและจากประสบการณ์ โดยมีการกำหนดโครงสร้างของข้อมูล (Data Structure) ให้เหมาะสมกับการนำไปใช้งาน
- เครื่องอนุมาน (inference engine) เป็นส่วนควบคุมการใช้ความรู้ในฐานความรู้ เพื่อวิเคราะห์และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เราสามารถกล่าวได้ว่า เครื่องอนุมานเป็นส่วนการใช้เหตุและผลเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของ ES โดยที่เครื่องอนุมานจะทำหน้าที่ตรวจสอบกฎเกณฑ์ที่อยู่ใน ฐานความรู้ โดยการใช้เหตุผลทางตรรกะสำหรับแต่ละเหตุการณ์ ซึ่งมักจะอยู่ในลักษณะ ถ้า…แล้ว…
- ส่วนดึงความรู้ (knowledge acquisition subsystem) เป็นส่วนที่ดึงความรู้จากเอกสาร ตำรา ฐานข้อมูล และเชี่ยวชาญ ทีมพัฒนาจะทำการจัดความรู้ที่ได้มาให้อยู่ในรูปที่เข้ากันได้กับโครงสร้างของฐานความรู้ เพื่อที่จะได้สามารถบรรจุความรู้ที่ได้มาลงในฐานความรู้ได้
- ส่วนอธิบาย (explanation subsystem) เป็นส่วนที่อธิบายถึงรายละเอียดของข้อสรุปหรือคำตอบที่ได้มานั้น มาได้อย่างไร และทำไมถึงมีคำตอบเช่นนั้น
- การติดต่อกับผู้ใช้ (user interface)ผู้พัฒนาระบบจึงต้องคำนึงถึงความสะดวกในการติดต่อระหว่าง ES กับผู้ใช้ ทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่าง ES กับผู้ใช้ที่มีความสะดวก ทำให้ผู้ใช้เกิดความพอใจและสามารถใช้ระบบจนเกิดความชำนาญ ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ
ลักษณะเด่นของ AI/ES
- ป้องกันและรักษาความรู้ซึ่งอาจสูญหายไปขณะทำการเรียกข้อมูลหรือการยกเลิกการใช้ข้อมูล การใช้ข้อมูลตลอดจนการสูญหายเนื่องจากขาดการเก็บรักษาความรู้อย่างเป็นระบบและเป็oระเบียบ แบบแผน
- ระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System จะจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในลักษณะที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งาน และมักจะถูกพัฒนาให้สามารถตอบสนอง ต่อปัญหาในทันทีที่เกิดความต้องการ
- การออกแบบระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System มักจะคำนึงถึงการบันทึกความรู้ในแต่ละสาขาให้เพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งานซึ่งจะทำให้ระบบสามารถปฏิบัติงานแทนผู้เชี่ยวชาญ อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบผู้เชี่ยวชาญExpert Systemจะสามารถตัดสินปัญหาอย่างแน่นอนเนื่องจากระบบถูกพัฒนาให้สามารถปฏิบัติงานโดยปราศจากผลกระทบทางร่างกายและอารมณ์ที่มีอยู่ในตัวมนุษย์เช่นความเครียด ความเจ็บ ป่วย เป็นต้น
- ระบบผู้เชี่ยวชาญ Expert System เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ โดยเฉพาะองค์การสมัยใหม่ ( Modern Organization ) ที่ต้องการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น การวิเคราะห์และวางแผนการตลาด การลดต้นทุน การเพิ่มการผลิตภาพ เป็นต้น
การนำระบบผู้เชี่ยวชาญไปใช้งาน (Putting Expert Systems to work) สามารถนำไปใช้ในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้
- ด้านการผลิต (Production) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์การกำหนดตารางการผลิต และการกำหนดตารางการใช้ทรัพยากรให้เหมาะสมที่สุด ตลอดจนการกำหนดโอกาสในการนำเอากากวัสดุไปผลิตอีกครั้ง
- การตรวจสอบ (Inspection) ผู้ผลิตสามารถใช้ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) ที่เป็นระบบจับภาพ ซึ่งจะสามารถฉายภาพความเสียหายของวัตถุด้วยการใช้ลำแสง เพื่อป้องกันในการแพร่กระจายความเสียหายไปที่ต่าง ๆ นอกจากนี้ระบบนี้ยังสามารถช่วยทำรายงานด้านการรับประกันคุณภาพ ที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนของวัตถุในเรื่องความชำรุดเสียหาย และวิธีการในการแก้ไขด้วย
- การประกอบชิ้นส่วน (Assembly) ระบบผู้เชี่ยวชาญ XCON สามารถช่วยผู้ผลิตในการสร้างโครงร่างคำสั่งซื้อของลูกค้าไปเป็นแผนผังภาพ ซึ่งจะแสดงให้เห็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการผลิตตามคำสั่งซื้อของลูกค้า และยังแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างชิ้นส่วนต่าง ๆ
- ด้านบริการ (Field service) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) เป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้จัดการด้านการบริการและพนักงานซ่อมแซมทั่วไป (ช่าง) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) ช่วยให้ช่างเข้าใจถึงลำดับขั้นตอนในการวิเคราะห์ เช่น เครื่องจักรกำลังเดินเครื่องหรือไม่ ความเสียหายเกิดขึ้นกับระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือเกิดกับส่วนใด ซึ่งเป็นการช่วยในการวิเคราะห์ตามลำดับขั้นตอนอย่างรวดเร็ว ทำให้ประหยัดเวลาในการทำงาน
- การตรวจสอบบัญชี (Auditing) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชีในเรื่องกระบวนการตรวจสอบบัญชีเพื่อความถูกต้อง เช่น สำหรับบัญชีลูกหนี้ (Account receivable) จะมีการป้อนข้อมูลลูกหนี้เข้าไปในระบบผู้เชี่ยวชาญ สิ่งที่ได้จากระบบคือการเสนอแนะกระบวนการในการตรวจสอบนั่นเอง
- ด้านบุคคล (Personnel) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) ช่วยแผนกบุคคลในการเตือนผู้ใช้ในเรื่องที่สำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนโยบายของบริษัท และยังช่วยในการสร้างคู่มือให้แก่พนักงาน
- ด้านการตลาดและการขาย (Marketing and sales) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (ES) สามารถทำงาน 6 งานพร้อมกันภายในไม่กี่วินาที ในขณะที่พนักงาน 1 คน ใช้เวลา 20-30 นาทีในการทำงาน 1 งาน
ประโยชน์ของระบบผู้เชี่ยวชาญ (Benefits of Expert Systems)
- ช่วยรักษาความรู้ที่อาจสูญเสียไปเมื่อเกิดการลดออกของพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญ
- ช่วยทำให้ข้อมูลมีคุณภาพและมีศักยภาพในการนำมาใช้งานได้อย่างทันท่วงทีเมื่อต้องการ
- ช่วยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะที่อาจเกิดกับมนุษย์ เช่นความเมื่อยล้า ความสับสนวุ่นวาย หรือปัญหาด้านอารมณ์
- ใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ ด้านการตลาด การลดต้นทุน และการปรับปรุงพัฒนาสินค้า
ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems : GIS)
ระบบการทำงานที่ผสมผสานกันระหว่างฮาร์ตแวร์ ซอฟแวร์ และข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลที่ได้จากการถ่ายภาพ หรือภาพถ่ายดาวเทียม รวมถึงการรวบรวม การบริหารจัดการ การวิเคราะห์ และการแสดงรูปแบบข้อมูลทางแผนที่ต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้มองเห็น และเข้าใจภาพรวมทั้งหมดที่แสดงออกมาผ่านแผนภูมิ แผนที่ และรายงานต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง ไม่เพียงเท่านี้ ระบบ GIS ยังสามารถตอบคำถามที่ต้องการได้อีกด้วย ทั้งนี้ระบบ GIS สามารถนำมาผสมผสานและประยุกต์ใช้ได้กับทุกหน่วยงาน ซึ่งนับว่ามีอรรถประโยชน์มากหากนำใช้ให้ถูกวิธีนั่นเององค์ประกอบในการทำงานของระบบ GIS
- อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (hardware) หมายถึง คอมพิวเตอร์และเครื่องต่อพ่วงอื่นๆ ทั้งเครื่องพิมพ์ สแกนเนอร์ กล้องถ่ายรูป ที่มีหน้าที่ในการนำเข้าข้อมูล ประมวลผล แสดงผล และผลิตผลลัพธ์ของการทำงาน
- โปรแกรม(software)คือกลุ่มโปรแกรมสำเร็จรูปที่ติดตั้งบนระบบฮาร์ดแวร์เพื่อให้ระบสารสนเทศภูมิศาสตร์สามารถทำงานได้ตามที่ได้รับการออกแบบไว้โดยมีโปรแกรมหลักคือโปรแกรม WINDOW, UNIX โปรแกรมระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น โปรแกรม ARC/INFO โปรแกรม PAMAP โปรแกรม INTERGRAPH, AutoCAD MAP, MAPINFO
- ขั้นตอนการทำงาน (methods) คือ วิธีการที่องค์กรนั้นๆ นำเอาระบบ GIS ไปใช้งานโดยแต่ละ ระบบ แต่ละองค์กรย่อมมีความแตกต่างกันออกไป ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติงานต้องเลือกวิธีการในการจัดการกับปัญหาที่เหมาะสมที่สุด สำหรับของหน่วยงานนั้น ๆ เอง ซึ่
- บุคลากร (people) คือ บุคคลที่มีความรู้พื้นฐานทางด้านคอมพิวเตอร์และทางด้านภูมิศาสตร์ สามารถวิเคราะห์และออกแบบแผนที่และแผนภูมิที่เป็นผลลัพธ์ของการวิเคราะห์เพื่อแสดงผลได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานว่าด้วยวิชาการออกแบบแผนที่ (Cartography) โดยจำแนกบุคลากรตามลักษณะงานดังนี้ เช่นพนักงานภาคสนามพนักงานเตรียมข้อมูลและต้นร่างพนักงานป้อนข้อมูล พนักงานวิเคราะห์ข้อมูล และพนักงานออกแบบแผนที่ เป็นต้น
- ข้อมูล (data) แหล่งข้อมูลของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ แผนที่ภูมิประเทศ มาตราส่วน 1:50,000 รูปถ่ายทางอากาศ (Aerial Photographs) หรือ ภาพถ่ายดาวเทียม (Satellite Imagery) นอกเหนือจากข้อมูลเชิงพื้นที่ข้างต้นแล้วระบบสารสนเทศยังต้องการข้อมูลเชิงบรรยาย ที่จะช่วยขยายความด้านรายละเอียดของข้อมูลเชิงพื้นที่ตัวอย่างของข้อมูลเชิงบรรยาย ได้แก่ ชื่อของหมู่บ้าน จำนวนครัวเรือน จำนวนประชากรชาย-หญิง เป็นต้น
ขั้นตอนการทำงานของ GIS
- การนำเข้าข้อมูล(input)ก่อนที่ข้อมูลทางภูมิศาสตร์จะถูกใช้งานได้ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ข้อมูลจะต้องถูกแปลงให้อยู่ในรูปของข้อมูลเชิงตัวเลข (digital format) ก่อน เช่น จากแผนที่กระดาษไปสู่ข้อมูลในรูปแบบดิจิตอลหรือแฟ้มข้อมูลบนเครื่อง คอมพิวเตอร์อุปกรณ์ที่ใช้ในการนำเข้าเช่น Digitizer Scanner หรือ Keyboard เป็นต้น
- การปรับแต่งข้อมูล (manipulation) ข้อมูลที่ได้รับเข้าสู่ระบบ บางอย่างจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ข้อมูลบางอย่างมีขนาด หรือสเกล (scale) ที่แตกต่างกันหรือใช้ระบบพิกัดแผนที่ที่แตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้จะต้องได้รับการปรับให้อยู่ในระดับเดียวกันเสียก่อน
- การบริหารข้อมูล (management) ระบบจัดการฐานข้อมูลหรือ DBMS จะถูกนำมาใช้ในการบริหารข้อมูลเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพในระบบ GIS DBMS
- การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (query and analysis) เมื่อระบบ GIS มีความพร้อมในเรื่องของข้อมูลแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำข้อมูลเหล่านี่มาใช้ให้เกิดประโยชน์
- การนำเสนอข้อมูล (visualization) จากการดำเนินการเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่ในรูปของตัวเลขหรือตัวอักษรซึ่งยากต่อการตีความหมายหรือทำความเข้าใจการนำเสนอข้อมูลที่ดี เช่น การแสดงชาร์ต (chart) แบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ รูปภาพจากสถานที่จริง ภาพเคลื่อนไหว แผนที่ หรือแม้กระทั้งระบบมัลติมีเดียสื่อต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายและมองภาพของผลลัพธ์ที่กำลังนำเสนอได้ดียิ่งขึ้น อีก ทั้งเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้ฟังอีกด้วย
https://yingpew103.wordpress.com/2012/12/03/สารสนเทศภูมิศาสตร์/
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
- ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การกำหนดพื้นที่ป่าไม้ แหล่งน้ำ ทั้งบนผิวดินและใต้ดิน ธรณีวิทยาหินและแร่ ชายฝั่งทะเลและภูมิอากาศ
- ด้านการจัดการทรัพยากรเกษตร เช่น การแบ่งชั้นคุณภาพพื้นที่เกษตร ดินเค็มและดินปัญหาอื่น ความเหมาะสมของพืชในแต่ละพื้นที่ การจัดระบบน้ำชลประทาน การจัดการด้านธาตุอาหารพืช
- ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การแพร่กระจายของฝุ่นและก๊าซ การกำหนดจุดเก็บตัวอย่างจาก โรงงาน การป้องกันความเสียหายของโบราณสถานหรือสถานที่ท่องเที่ยว การป้องกันไฟไหม้ป่า เป็นต้น
- ด้านสังคม เช่น ความหนาแน่นของประชากร เพศ อายุ การศึกษา แรงงาน ตำแหน่งของโรงเรียนและการเดินทางของนักเรียน เป็นต้น
- ด้านเศรษฐกิจ เช่น รายได้ของประชากรของหมู่บ้าน ตำบล สินค้าหลัก ตำแหน่งที่ตั้งของโรงงานประเภทต่างๆ เป็นต้น
https://yingpew103.wordpress.com
ระบบธุรกิจอัจฉริยะ (Business Intelligence Systems: BI)
Business Intelligence (BI)หรือระบบธุรกิจอัจฉริยะ เป็นระบบที่ใช้ในการพยากรณ์อนาคตของธุรกิจ ช่วยในการตัดสินใจวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุตามเป้าประสงค์ BI เป็นเหมือนฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ในลักษณะที่เอื้อต่อการนำข้อมูลไปใช้ในสนับสนุนการตัดสินใจซึ่งจะประกอบไปด้วยระบบข้อมูล และโปรแกรมแอพพลิเคชั่นด้านการวิเคราะห์มากมายหลายระบบ
องค์ประกอบสำคัญของ BI
เทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับงาน Business intelligence คือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ในลักษณะที่เอื้อต่อการนำข้อมูลไปใช้ในสนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งจะประกอบไปด้วยระบบข้อมูล และโปรแกรมแอพพลิเคชั่น ด้านการวิเคราะห์ มากมายหลายระบบ เช่น
- ดาต้าแวร์เฮ้าส์ (Data Warehouse)คือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมข้อมูลทั้งจากแหล่งข้อมูลภายในและภายนอกองค์กร โดยมีรูปแบบและวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บข้อมูลซึ่งจำเป็นต้องมีการออกแบบฐานข้อมูลให้สอดคล้องกับการนำข้อมูลที่ต้องการนำมาใช้งาน- ดาต้ามาร์ท (Data Mart) คือ คลังข้อมูลขนาดเล็กมีการเก็บข้อมูลที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง เช่น เก็บข้อมูลส่วนของการเงิน ส่วนของสินค้าคงคลัง ส่วนของการขาย เป็นต้น ซึ่งทำให้การจัดการข้อมูลการนำเอาข้อมูลไปสร้างความสัมพันธ์และวิเคราะห์ต่อก็ง่ายขึ้น
- การทำเหมืองข้อมูล (Data Mining)คือการนำคลังข้อมูลหลักมาประมวลผลใหม่ มาแสดงผลเฉพาะสิ่งที่สนใจโดยกระบวนการในการดึงข้อมูลออกจากฐานข้อมูลจะมีสูตรทางธุรกิจ (Business Formula)และเงื่อนไขต่างๆเข้ามาเกี่ยวข้องและผลลัพธ์ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่นเป็นแผนภูมิในการตัดสินใจ (Decision Trees) เป็นต้น - เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายมิติ (OLAP) คือการสืบค้นข้อมูลที่ผู้ใช้สามารถเลือกผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบของตารางหรือกราฟ โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลใน มุมมองหลากหลายมิติ (Multi-Dimensional) โดยที่ผู้ใช้สามารถที่จะดูข้อมูลแบบเจาะลึก(Drill Down) ได้ตามต้องการ
- ระบบสืบค้นและออกรายงานต่างๆ (Search, Report)
การนำระบบธุรกิจอัจฉริยะไปใช้
- การจัดทำประวัติของลูกค้า
- การประเมินถึงสภาพของตลาด
- การจัดกลุ่มของตลาด
- การจัดลำดับทางด้านเครดิต
- การเพิ่มความสามารถในกรทำกำไรของผลิตภัณฑ์
- การจัดการความเคลื่อนไหวของสินค้าคงคลัง
จุดเด่นของ Business Intelligence
- สามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่หลากหลายภายในองค์กรมาทำการวิเคราะห์ เช่น Excel, FoxPro, Dbase, Access โดยไม่มีการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมใดๆ
- ใช้งานง่ายสะดวกสบาย เพียงแค่คลิกเมาส์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรายงานได้โดยไม่ต้องมีการคีย์ข้อมูลใหม่
วัตถุประสงค์หลักของธุรกิจอัจฉริยะ
- ทำให้เจ้าของธุรกิจผู้บริหาร หรือพนักงานที่เกียวข้องสามารถเข้าถึงเข้ามูลได้ง่าย ช่วยให้สามารถวิเคราะ์และตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ
- ธุรกิจอัจฉริยะช่วยเปลี่ยนสภาพ(transform)ข้อมูล (Data) ไปสู่สารสนเทศ (Information) และองค์ความรู้(Knowledge)สุดท้ายทำให้ผู้ใช้สามารถติดสินทางธุรกิจได้ (Make Business Decision) อย่างชาญฉลาด แล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดผล (Take Action)
- ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจขององค์กร
- ช่วยให้สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคหรือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กระบวนการหลักของธุรกิจอัจฉริยะ
- Decision Support
- Query Data
- Report
- OLAP
- Statistical Analysis
- Prediction
- Data Mining
http://slideplayer.in.th/slide/2113808/
ผู้จัดทำ
ที่มา http://www.workboxs.com/thai/hotel-reservation-software.html
http://hosgroup1.blogspot.com/2010/09/blog-post.html
http://www.spdesignmarketing.co.th/blog/it-การบริหารธุรกิจโรงแรม/
http://blog.vzmart.com/ระบบสำนักงานอัตโนมัติ-office-automation-system-oas/
http://chanoknartkampho.blogspot.com/2012/12/oasdss-mistpsesskws.html
https://yingpew103.wordpress.com/ 012/12/03/ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์/
http://www.hrwm2011.org/2015/ประโยชน์การใช้ระบบสารสนเทศ
http://ac2-009.blogspot.com/2012/07/tps-mis-dss-eis-es-oas.html
http://free4marketing.blogspot.com/2011/04/evaluating-salesmen.html
http://www.siamhr.com/web/guest/724
ผู้จัดทำ
- นางสาว ธนัชพร อุตมา 58124806
- นางสาว พรนภัส แช่มปรีชา 58124830
- นางสาว จิรัชญา จันตาบุญ 58124863
- นางสาว กมลนุช จี้ธรรม 58124868
- นางสาว สมศรี กุ่งนะ 58124879
- นางสาว จันทร์จิรา คุณยศยิ่ง 58124881
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น